คาสิโนออนไลน์

คาสิโนออนไลน์
คาสิโนออนไลน์

วันจันทร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2562

5 อาหารสุขภาพ ลดความดันโลหิต ที่สาวๆควรทานทุกวัน!

อาหารสุขภาพ   “การไม่มีโรค เป็นลาภอันประเสริฐ” เชื่อว่าคงไม่มีใครไม่เห็นด้วยกับคำกล่าวนี้ใช่ไหมล่ะคะ การใช้ชีวิตโดยปราศจากโรคภัยไข้เจ็บมันมีค่ายิ่งกว่าสิ่งใดจริงๆค่ะ 

อาหารสุขภาพ  สิ่งสำคัญอันดับต้นๆในการเสริมสร้างสุขภาพที่ดีและลดโรคร้ายต่างๆคือ การเลือกรับประทานอาหาร นั่นเองค่ะ อาหารสุขภาพดีๆที่หาทานง่ายแต่ได้ประโยชน์มากในการช่วยลดความดันโลหิตให้ต่ำลง


 สิ่งที่สาวๆ ควรเลือกทานคืออาหารที่มีโซเดียมต่ำและควรเลี่ยงการรับประทานเค็มค่ะ ที่สำคัญควรเลือกทานอาหารที่มีแร่ธาตุจำเป็น 3 ชนิด ได้แก่ โพแทสเซียม แมกนีเซียม และแคลเซียม เพราะจะช่วยรักษาสมดุลระดับความดันโลหิตของสาวๆได้ดีเป็นอย่างมาก เราไปดูกันดีกว่าค่ะ…ว่า 5 อาหารสุขภาพที่ควรมีไว้ติดครัวจะมีอะไรบ้าง ไปดูกันเลยค่ะ



1.โยเกิร์ตรสธรรมชาติ
     นอกจากจะมีประโยชน์ในการช่วยขับถ่ายแล้ว โยเกิร์ตหนึ่งถ้วยยังประกอบไปด้วยแคลเซียม 45 เปอร์เซ็นต์ แมกนีเซียม 12 เปอร์เซ็นต์และโพแทสเซียม 18 เปอร์เซ็นต์ที่ดีต่อระดับความดันของคุณ เห็นที…เย็นนี้ต้องรีบซื้อโยเกิร์ตติดตู้เย็นไว้หลายๆแพ็คแล้วล่ะค่ะสาวๆ



2.กล้วย
     10 สูตรสมูทตี้หน้าตาดูดี ทำง่ายแถมยังอร่อยลงตัว!


3.มันเทศ
     เจ้ามันเทศและเปลือกของมันอุดมไปด้วยแคลเซียม แมกนีเซียมและโพแทสเซียมไม่แพ้อาหารชนิดอื่นเลยทีเดียวเชียวค่ะ นอกจากนี้ยังมีสรรพคุณช่วยลดไขมันในเลือดได้อีกด้วยค่ะ หัวเดียวแต่สารพัดประโยชน์จริงๆสำหรับเจ้ามันเทศ



4.อะโวคาโด
     สาวสายเฮลตี้คงรู้ดีค่ะว่าเจ้าอะโวคาโดมันมีประโยชน์นานับประการจริงๆค่ะ นอกจากจะมีประโยชน์ในเรื่องความสวยความงาม ทั้งบำรุงผิว บำรุงผมได้แล้ว เจ้าอะโวคาโดที่สาวๆเข้าใจผิด คิดว่ากินแล้วอ้วนเนี่ยแหละค่ะยังช่วยลดไขมันในเส้นเลือดแถมยังสามารถป้องกันโรคหัวใจได้อีกด้วย ที่สำคัญยังมีเจ้า 3 แร่ธาตุจำเป็นอยู่ครบในลูกเดียวอีกต่างหาก สำหรับสาวๆที่อยากลองทำเมนูจากเจ้าอะโวคาโด เราก็นำมาฝากอีกเช่นกันค่ะ คลิกอ่าน – 7 เมนูอะโวคาโดชวนลิ้มลอง อร่อยท้อง แถมยังป้องกันโรค!



5.กีวี
     ปิดท้ายด้วยผลไม้รสหวานอมเปรี้ยวอย่าง กีวี ที่มีดีแบบสุดๆ เพราะประกอบไปด้วยแคลเซียม 2 เปอร์เซ็นต์ แมกนีเซียม 7 เปอร์เซ็นต์และโพแทสเซียม 9 เปอร์เซ็นต์ มีวิตามินซีสูงแบบสุดๆ แถมเจ้ากีวียังมีดีเรื่องความสวยความงามของสาวๆอีกด้วย ทั้งช่วยต้านอนุมูลอิสระและเสริมสร้างคอลลาเจนให้กับผิวของคุณ บอกเลยค่ะงานนี้ได้ทั้งผิวสวยแถมยังรักษาระดับความดันโลหิตได้ดีอีกด้วย เก๋สุดๆไปเลยล่ะค่ะ

 ขอบคุณแหล่งที่มา http://women.trueid.net

วันอาทิตย์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2562

แซลมอนอบกับสลัดมะม่วงอะโวคาโด อาหารลดความอ้วนมื้อเย็นโดน ๆ

แซลมอนอบกับสลัดมะม่วงอะโวคาโด     จัดอาหารลดความอ้วนมื้อเย็นโดน ๆ สักหน่อยไหมคะ ? ชวนทำแซลมอนอบกับสลัดมะม่วงอะโวคาโด ทำเองง่าย ๆ มีคุณค่าจากโปรตีนและวิตามิน กินเป็นมื้อเย็นได้ ไม่ต้องกลัวพลุ้ย

แซลมอนอบกับสลัดมะม่วงอะโวคาโด  เมนูแซลมอนทำอะไรได้บ้าง ? เคยทำแซลมอนย่างแต่รู้สึกแห้งไปไม่อร่อย รวมทั้งเคยเอาไปทอดแต่กินไปก็เลี่ยนน้ำมัน ลองเปลี่ยนไอเดียเอาไปอบดีไหม ไม่แห้งและไม่อมน้ำมันด้วย กระปุกดอทคอมขอนำเสนอวิธีทำแซลมอนอบกับสลัดมะม่วงอะโวคาโด สูตรจาก นิตยสารแม่บ้าน แซลมอนอบเนื้อนุ่ม กินกับสลัดหวานอมเปรี้ยว กินเพียว ๆ หรือโปะข้าวสวยก็เจิดจ้า


ส่วนผสม แซลมอนอบ

     • ปลาแซลมอน 2 ชิ้น
     • เกลือป่น
     • พริกไทยดำบดหยาบ
     • กระเทียมสับ 2 กลีบ
     • น้ำมะนาว 2 ช้อนโต๊ะ
     • น้ำมันมะกอก 2 ช้อนโต๊ะ
     • มะนาวหั่นชิ้น
     • ข้าวสวย

ส่วนผสม สลัดมะม่วงอะโวคาโด

     • มะม่วงสุกหั่นเต๋า 1 ถ้วย
     • อะโวคาโดหั่นเต๋า 1 ถ้วย
     • พริกหวานสีแดงหั่นเต๋า 2 ช้อนโต๊ะ
     • ผักชีสับ 1/4 ถ้วย
     • หอมแดงสับ 2 ช้อนโต๊ะ
     • น้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ
     • น้ำมันมะกอก 1 ช้อนโต๊ะ
     • น้ำมันมะพร้าว 1 ช้อนโต๊ะ
     • เกลือป่นเล็กน้อย
     • พริกไทยดำบดหยาบเล็กน้อย

วิธีทำสลัดมะม่วงอะโวคาโด

     • ผสมส่วนผสมทุกอย่างให้เข้ากัน

วิธีทำแซลมอนอบกับสลัดมะม่วงอะโวคาโด

     1. โรยเกลือป่นกับพริกไทยดำบดลงบนปลาแซลมอนให้ทั่ว ใส่กระเทียม น้ำมะนาว และน้ำมันมะกอก คลุกเคล้าให้ทั่วชิ้นปลา
     2. นำปลาแซลมอนวางบนแผ่นอะลูมิเนียมฟอยล์ คลุมให้มิด นำเข้าอบที่อุณหภูมิ 400 องศาฟาเรนไฮต์ ประมาณ 25-30 นาที นำออกจากเตาอบ
     3. ตักข้าวสวยใส่จาน วางปลาแซลมอน ราดสลัดมะม่วงอะโวคาโด จัดเสิร์ฟพร้อมมะนาว

     ดีต่อใจจริง ๆ ! แซลมอนอบชิ้นหนา กินกับสลัดมะม่วงอะโวคาโด บีบมะนาวลงไปหน่อย หน้าตาดูอร่อยขอลองสักครั้ง

ขอบคุณแหล่งที่มา https://cooking.kapook.com

วันเสาร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2562

10 ผลไม้คลายร้อนให้ร่างกาย ของกินเล่นแก้กระหาย แถมยังไม่อ้วนด้วย !

ผลไม้คลายร้อนให้ร่างกาย  ร้อนเบอร์ไหนก็สบาย แค่มีผลไม้คลายร้อนตามนี้ กินแล้วชื่นใจ แคลอรีก็ไม่มาก ดี๊ดีต่อการลดน้ำหนักอีกต่างหาก 

ผลไม้คลายร้อนให้ร่างกาย


 1. แตงโม

          ผลไม้ฉ่ำน้ำที่มีรสหวานชื่นใจอย่างแตงโม หลายคนอาจคิดว่าแตงโมให้พลังงานเยอะ ทั้งที่จริงแล้วแตงโม 8 ชิ้นพอดีคำ น้ำหนักเฉลี่ย 170 กรัม ให้พลังงานเพียง 58 กิโลแคลอรีเท่านั้นเองค่ะ นอกจากนี้แตงโมยังมีน้ำเป็นส่วนประกอบกว่า 90% แช่เย็น ๆ แล้วกินก็ชื่นใจดับกระหายได้ดี

          อ้อ ! ประโยชน์ของแตงโมก็ไม่ใช่ย่อยด้วยนะคะ ตั้งแต่เนื้อ เมล็ด ไปยันเปลือกแตงโมเลยล่ะ

       
2. มะพร้าว

        มะพร้าวอ่อน 1 ลูกให้พลังงานราว ๆ 51 กิโลแคลอรี (รวมเนื้อ) และส่วนของน้ำมะพร้าวมีอยู่ถึง 90 กรัมต่อลูกเลยนะคะ ซึ่งแน่นอนว่าน้ำมะพร้าวช่วยดับกระหายคลายร้อนให้เราได้ง่าย ๆ โดยเฉพาะคนที่ต้องการดื่มน้ำหวานให้ชื่นใจ ความหวานของน้ำมะพร้าวจะช่วยเติมเต็มอาการอยากของหวาน ๆ ของคุณได้ชะงัดโดยไม่ทำให้น้ำหนักขึ้นเลย ที่สำคัญน้ำมะพร้าวยังมีฤทธิ์ดับร้อน ช่วยล้างพิษ และขับของเสียออกจากร่างกายอีกด้วย

   

3. ส้ม

          ส้มมีกากใยและมีปริมาณน้ำค่อนข้างสูง สวนทางกับพลังงานที่ค่อนข้างต่ำ ดังนั้นสาว ๆ ที่กำลังลดความอ้วน จัดส้มแก้กระหายคลายร้อนสักลูกได้เลยค่ะ แต่ถ้าจะให้ฟินขึ้นไปอีก ก็กินส้มแช่เย็นไปเลยก็ได้ ทว่าพยายามหลีกเลี่ยงน้ำส้มคั้นที่ขายทั่วไปนะคะ เพราะอาจได้พลังงานจากน้ำเชื่อมมาเพิ่มความอ้วนแบบไม่รู้ตัว



4. สับปะรด

          สับปะรดเป็นผลไม้ฉ่ำน้ำชนิดหนึ่ง โดยในสับปะรด 100 กรัม มีน้ำอยู่มากถึง 86 กรัม และให้พลังงานเพียง 50 กิโลแคลอรี เท่านั้น ที่สำคัญสรรพคุณของสับปะรดยังช่วยย่อยอาหาร ขับปัสสาวะ แถมยังมีไฟเบอร์ค่อนข้างสูง ใครที่ต้องการถ่ายคล่อง ๆ แก้อาการท้องผูก สับปะรดก็ช่วยได้นะคะ ได้ประโยชน์ 2 เด้งทั้งแก้กระหายดับร้อนและช่วยแก้ท้องผูกได้อีก


5. มะละกอ

          รสหวานจากมะละกอสุกช่วยเพิ่มความสดชื่นให้ร่างกายได้ทันทีที่กินเข้าไป อีกทั้งมะละกอยังมีส่วนช่วยเร่งการเผาผลาญและสลายไขมันของร่างกาย ช่วยระบายท้องไดัดีเพราะมีไฟเบอร์และเอนไซม์ช่วยย่อยอาหารค่อนข้างสูง หั่นแช่เย็นสัก 1/4 ลูก แล้วนำมากินเป็นของว่างคลายร้อนแบบผอม ๆ กันได้เลย


6. แก้วมังกร

          แก้วมังกรเป็นผลไม้ที่มีน้ำเยอะ มีรสชาติหวานกำลังดี และเป็นผลไม้แคลอรีต่ำ ในปริมาณ 200 กรัม แก้วมังกรให้พลังงานเพียง 60 กิโลแคลอรีเท่านั้น ซึ่งหากต้องการคลายร้อนแบบผอม ๆ จะกินแก้วมังกรแช่เย็นสักครึ่งลูกเพื่อดับร้อนก็ได้นะคะ



7. สาลี่

          สาลีเป็นผลไม้ฉ่ำน้ำเช่นกัน และที่สำคัญสาลี่ยังมีสรรพคุณดับพิษร้อนในร่างกาย ช่วยแก้กระหายให้เราได้ตั้งแต่คำแรกที่กินสาลี่ อีกทั้งรสหวานพอดี ๆ จากปริมาณน้ำตาลที่พอเหมาะของสาลี่ ยังช่วยปลุกความสดชื่นให้เราได้ด้วยนะคะ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นแนะนำให้กินสาลี่ครั้งละครึ่งลูกก็พอค่ะ เพราะสาลี่ 1 ผลจะให้พลังงานราว ๆ 53-120 กิโลแคลอรี แล้วแต่ว่าจะเป็นสาลี่สายพันธุ์ไหน


8. แคนตาลูป

          แคนตาลูปเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามินซี การรับประทานแคนตาลูป 1/4 ของผลก็ทำให้เราได้รับวิตามินซีในปริมาณเท่าความต้องการของร่างกายในแต่ละวัน โดยให้พลังงานแค่ 50 แคลอรีเท่านั้นเอง ที่สำคัญแคนตาลูปยังเป็นผลไม้ฉ่ำน้ำพอ ๆ กับแตงโมหรือแตงกวาเชียวนะคะ ฉะนั้นกระหายน้ำ ร้อนในกาย กินแคนตาลูปเข้าไปก็ช่วยคลายร้อนได้อย่างไม่ต้องสงสัยเลย


9. มังคุด

          โบราณบอกให้กินมังคุดคู่กับทุเรียน เพราะมังคุดมีฤทธิ์ดับร้อนจากทุเรียนได้ และมังคุดเองก็มีปริมาณน้ำค่อนข้างมากอยู่ค่ะ ในเนื้อมังคุด 100 กรัม มีน้ำ 80-84 กรัม และให้พลังงานเพียง 60-63 กิโลแคลอรีเท่านั้น ซึ่งหากกินมังคุดเพียง 3-5 ผลก็ไม่ทำให้น้ำหนักขึ้นชัวร์ ๆ แต่ที่แน่ ๆ คือช่วยดับกระหายคลายร้อนได้ดีเลยจ้า



10. ฝรั่ง

          ฝรั่งแม้จะเป็นผลไม้ที่มีปริมาณน้ำไม่มากเท่าผลไม้คลายร้อนชนิดอื่น ๆ ทว่าฝรั่งก็มีรสชาติหวาน กรอบ อร่อย ยิ่งแช่เย็น ๆ ก็จะยิ่งเพิ่มความสดชื่นได้อีกเป็นเท่าตัว ที่สำคัญฝรั่ง 1 ผลขนาดกลาง ให้พลังงานเพียง 45 กิโลแคลอรีเท่านั้นเองนะคะ กินแล้วไม่อ้วนแน่ ๆ แหละ

ขอบคุณแหล่งที่มา https://health.kapook.com

วันพุธที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2562

5 สุดยอดอาหารบำรุงร่างกาย ดีต่อสุขภาพแบบเต็มเปี่ยม !!

 สุดยอดอาหารบำรุงร่างกาย  สุขภาพของเราจะดีหรือแย่ ขึ้นอยู่กับการดูแลตัวเอง โดยเฉพาะในเรื่องอาหารการกิน ที่จะยกลำดับความสำคัญให้เป็นที่ 1 ก็คงไม่ผิดนัก


 สุดยอดอาหารบำรุงร่างกาย เพราะอย่างที่เห็นกันค่ะว่าโรคภัยไข้เจ็บมาเยือนก็เพราะเราขาดความใส่ใจด้านสุขภาพ กินอาหารที่เสี่ยงต่อการเกิดโรคเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นหากอยากเลี่ยงโรคภัย พร้อมทั้งบำรุง ดูแลสุขภาพไปด้วยในตัว สิ่งที่เราควรทำมากที่สุดก็คือการเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์กับสุขภาพเป็นอันดับแรก
   
          ...ว่าแต่อาหารเพื่อสุขภาพแบบไหนล่ะที่จะให้คุณประโยชน์ต่อร่างกาย บำรุงสุขภาพ และช่วยปกป้องเราจากโรคภัยต่าง ๆ ได้ดี ว่าแล้วก็มาดูกันเลย


1. รังนก
   
          อาหารเพื่อสุขภาพที่สำคัญอย่างหนึ่งที่เราไม่ควรพลาดก็คือรังนกแท้ค่ะ เพราะรังนกแท้เปรียบเสมือนอาหารบำรุงร่างกายตามตำรับชาวจีน ซึ่งช่วยบำรุงร่างกายให้แข็งแรง ลดอาการอ่อนเพลีย ลดอุณหภูมิความร้อนในร่างกายให้กลับเป็นปกติ จัดเป็นอาหารช่วยบำรุงธาตุอย่างหนึ่ง

          ซึ่งในปัจจุบันนี้ ก็มีการศึกษาทดลองที่พบว่าในรังนกมีสารอาหารที่สำคัญอย่าง NANA หรือ N-ACETYLNEURAMINIC ACID และ EGF หรือ EPIDERMAL GROWTH FACTOR ซึ่งช่วยซ่อมแซม ส่งเสริมการสร้าง และช่วยกระตุ้นการเติบโตของเซลล์เยื่อบุผิว จึงมีส่วนช่วยทำให้ผิวพรรณสดใส ดูอ่อนกว่าวัย ช่วยกระตุ้นเม็ดเลือดขาว เป็นตัวช่วยสำคัญในการป้องกันอันตรายจากเชื้อโรคและไวรัสชนิดต่าง ๆ รวมไปถึงยังพบว่าในรังนกมีสารที่ช่วยบำรุงระบบทางเดินหายใจ บรรเทาอาการหวัดและภูมิแพ้ด้วยนะคะ


2. จมูกข้าวญี่ปุ่น
   
          เพราะสมองคืออวัยวะสำคัญ ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานทุกอย่างของร่างกาย ดังนั้นเราต้องบำรุงสมองด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อสมองและเสริมสร้างความจำ อย่าง "จมูกข้าวญี่ปุ่น" เพราะจมูกข้าวญี่ปุ่นอุดมไปด้วย 4 สุดยอดสารอาหารสำคัญที่มีส่วนช่วยในการทำงานของระบบประสาทและสมอง อันได้แก่ กาบา, กรดไขมันโอเมก้า 3, วิตามินบี 12 และฟอสโฟไลปิด ซึ่งต่างก็มีคุณสมบัติที่ดีต่อสมอง ทั้งช่วยกระตุ้น บำรุง ดูแล และซ่อมแซมระบบประสาทและสมองของเราได้อย่างรอบด้าน อีกทั้งยังช่วยเพิ่มสมาธิและเสริมสร้างความจำได้เป็นอย่างดีเลยล่ะ



3. ยูโรเปียนแพร์
   
          แพร์ หรือยูโรเปียนแพร์ เป็นผลไม้ที่มีเส้นใยสูง และอุดมไปด้วยสารอาหารสำคัญที่ดีต่อหัวใจถึง 2 ชนิดด้วยกัน คือ "ไฟเบอร์เพคติน" ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยดักจับคอเลสเตอรอลก่อนถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย และยังช่วยขัดขวางการดูดซึมของไขมันไม่ให้เข้าสู่กระแสเลือด อีกสารอาหารสำคัญก็คือ "วิตามินซี" ที่ช่วยป้องกันและมีส่วนช่วยยับยั้งการทำงานของคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี จึงช่วยป้องกันเส้นเลือดอุดตัน ทั้งยังช่วยเพิ่มความต้านทานต่อโรคหัวใจ รวมทั้งช่วยต้านอนุมูลอิสระ ดังนั้นประโยชน์ของยูโรเปียนแพร์จึงช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจและโรคความดันโลหิตได้อย่างไม่ต้องสงสัย



4. มานูก้าฮันนี่ หรือน้ำผึ้งมานูก้า
   
          คือน้ำผึ้งแท้ 100% จากนิวซีแลนด์ที่ถูกขนานนามว่าเป็นน้ำผึ้งที่ดีที่สุดในโลก ! โดยจากการวิจัยทางวิทยาศาสตร์พบว่า น้ำผึ้งมานูก้ามีคุณสมบัติที่เหนือกว่าน้ำผึ้งทั่วไปในการบำรุงผิว ช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ที่สำคัญยังช่วยต่อต้านแบคทีเรียและเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ นอกจากนี้ในน้ำผึ้งมานูก้ายังประกอบไปด้วยกรดอะมิโน 16 ชนิด รวมไปถึงแร่ธาตุต่าง ๆ มากมาย จึงมีส่วนช่วยในการเสริมภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย ช่วยปรับสมดุลในระบบย่อยอาหาร แก้ท้องผูก บำรุงเลือด แก้นอนไม่หลับ บรรเทาอาการไอ และยังช่วยลดความรุนแรงของโรคกรดไหลย้อนได้ด้วย



5. โสมเกาหลี
   
          โสมเกาหลีเป็นที่ยอมรับในวงกว้างว่าเป็นโสมที่ดีที่สุด เพราะอัดแน่นไปด้วยคุณประโยชน์ต่อร่างกาย เนื่องด้วยมีสารสำคัญอย่างจินเซนโนซายด์ ซึ่งเป็นสารที่ช่วยบำรุงสุขภาพภายใน ทั้งช่วยปรับสมดุลร่างกายตามธรรมชาติ ช่วยส่งเสริมการทำงานของไต มีส่วนช่วยในการกำจัดสารพิษในตับ ช่วยบำรุงสมอง และระบบประสาท ช่วยเสริมสร้างความจำ บรรเทาความเครียด ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด แถมยังมีส่วนช่วยให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่า และยังเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้ผิวพรรณดูอ่อนกว่าวัยด้วยนะคะ

          และจะดียิ่งขึ้นไปอีกหากเราจะหลีกเลี่ยงน้ำตาลที่เป็นสาเหตุของการเกิดโรคต่าง ๆ มากมาย ซึ่งไซลิทอลถือเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกสำหรับคนที่ต้องการดูแลสุขภาพโดยการหลีกเลี่ยงน้ำตาล เพราะไซลิทอลเป็นสารให้ความหวานที่ถูกสกัดมาจากธรรมชาติโดยตรง จึงมีความปลอดภัยสูง และดีต่อคนที่ควบคุมน้ำหนัก หรือคนที่ต้องระวังเรื่องน้ำตาลเป็นพิเศษอย่างผู้ป่วยโรคเบาหวาน เนื่องจากไซลิทอลให้ความหวานเทียบเท่าน้ำตาล แต่ให้พลังงานน้อยกว่าน้ำตาลทรายประมาณ 40% นอกจากนี้ไซลิทอลยังเป็นสารให้ความหวานที่ไม่มีผลต่อการเพิ่มปริมาณน้ำตาลในเลือด และยังช่วยรักษาสมดุลของภาวะน้ำตาลในเลือดสูงได้อีกด้วย จึงถือได้ว่าไซลิทอลเป็นความหวานที่ไม่ทำร้ายสุขภาพให้เป็นกังวลเลยล่ะค่ะ

          ซึ่งปัจจุบันก็มีเครื่องดื่มรังนกแท้สูตรไซลิทอลที่มีส่วนผสมของสุดยอดอาหารสำคัญข้างต้นด้วย ไม่ว่าจะเป็นจมูกข้าวญี่ปุ่น ยูโรเปียนแพร์ มานูก้าฮันนี่ หรือโสมเกาหลี ให้ได้เลือกรับประทานเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยให้เราได้ทานอาหารที่มีคุณประโยชน์อย่างมากสำหรับการดูแลตัวเองและช่วยบำรุงร่างกายได้แบบคูณสองเลยนะคะ...

ขอบคุณแหล่งที่มา https://health.kapook.com

วันอังคารที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2562

3 สูตรแก้ท้องผูกด้วยของใกล้ตัว กินเป็นยาช่วยระบาย

สูตรแก้ท้องผูกด้วยของใกล้ตัว    ท้องผูก ถ่ายยากจัดไปเลยกับ 3 สูตรช่วยระบายท้อง จากของกินใกล้ตัว ไม่ต้องทนท้องผูก ถ่ายไม่ออกอีกต่อไป 

สูตรแก้ท้องผูกด้วยของใกล้ตัว  ปัญหาท้องผูก ถ่ายยาก เป็นปัญหาระดับชาติก็ว่าได้ และใครที่ท้องผูกเรื้อรัง ถ่ายไม่ค่อยจะออกอยู่บ่อย ๆ คงอึดอัดท้องน่าดูเลยใช่ไหมคะ แต่ต่อไปนี้ไม่ต้องกังวลกับปัญหาท้องผูกอีกต่อไป เพราะ Readers Digest มี 3 วิธีแก้ท้องผูกมาบอกต่อ


1. ไฟเบอร์จากผัก-ผลไม้

          ผักและผลไม้ทุกชนิดมีกากใยอาหาร ตัวช่วยสำคัญที่จะทำหน้าที่คล้ายเส้นใยคอยชำระล้างสิ่งตกค้างในลำไส้ออกมาพร้อมกับอุจจาระ อีกทั้งไฟเบอร์ยังเป็นตัวช่วยอุ้มน้ำในลำไส้ ส่งผลให้อุจจาระไม่แข็งตัว ถ่ายคล่อง ถ่ายง่ายขึ้นเพียงกินผัก-ผลไม้ให้มาก ๆ เท่านั้นเอง

          - 10 ผลไม้แก้ท้องผูก กินให้ถูกก็โล่งสบายท้อง

          - 10 สมุนไพรแก้ท้องผูก ปราบทุกอาการถ่ายยากให้อยู่หมัด



2. น้ำมะนาว
       
          บีบมะนาว 1 ซีกลงในแก้วน้ำเปล่า และดื่มตอนเช้าหลังตื่นนอน กรดซิตริกในมะนาวจะช่วยกระตุ้นระบบย่อยอาหาร และช่วยกระตุ้นระบบขับถ่ายให้มีความรู้สึกอยากถ่ายมากขึ้นด้วยนะคะ ที่สำคัญน้ำมะนาวยังมีคุณสมบัติในการดีท็อกซ์สารพิษในร่างกายด้วยล่ะ


3. กาแฟ

          คาเฟอีนในกาแฟจัดเป็นสารกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ ทำให้ระบบขับถ่ายดีขึ้นตามไปด้วย และกาแฟยังมีฤทธิ์ขับปัสสาวะในตัวด้วยนะ
       
          ถ้ามีปัญหาท้องผูก ถ่ายยาก ถ่ายทีก็อุจจาระแข็งจนเจ็บก้นไปหมด ลองนำสูตรแก้ท้องผูก 3 สูตรนี้ไปใช้ดูนะคะ ใช้ดียังไงอย่าลืมมาเล่าสู่กันฟังด้วยน้า

ขอบคุณแหล่งที่มา https://health.kapook.com

วันศุกร์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2562

ผักกาดขาว สรรพคุณดี๊ดี แก้ท้องผูก บรรเทาหวัดก็ได้

ผักกาดขาว  สรรพคุณของผักกาดขาวมีดีกว่าความอร่อย ยิ่งหากใครท้องผูกบ่อย ลองกินผักกาดขาวจะสบายท้องมากขึ้นง่าย ๆ เลย


ผักกาดขาว  ผักกาดขาวเป็นผักที่หากินได้ทุกฤดู ที่สำคัญยังนำมาทำอาหารได้หลายเมนู รสชาติก็ออกหวาน ๆ กรอบ ๆ อร่อยอย่าบอกใครเลยเนอะ และในเมื่อผักกาดขาวปั๊วะขนาดนี้เราก็ไม่อยากพลาดสรรพคุณของผักกาดขาว ต้องหยิบมาเสนอให้ได้รู้โดยทั่วกัน

ผักกาดขาว ผักนี้มีที่มา

          ผักกาดขาวเป็นผักที่เชื่อกันว่ามีต้นกำเนิดมาจากประเทศจีน โดยมีการค้นพบเมล็ดผักกาดขาวในหลุมศพของชาวจีนโบราณ ทั้งนี้ชาวจีนจะเรียกผักกาดขาวว่า แปะฉ่าย (แต้จิ๋ว) และผักกาดขาวยังถือเป็นอาหารสำคัญของชาวจีนโบราณอีกด้วย

          ส่วนชื่อวิทยาศาสตร์ของผักกาดขาวคือ Brassica Chinensis L. ผักกาดขาวเป็นพืชในวงศ์ Brassicaceae มีชื่อภาษาอังกฤษว่า Chinese White Cabbage



ลักษณะผักกาดขาว

         ลักษณะของผักกาดขาวใบจะอยู่ในลักษณะห่อปลียาวหรืออาจห่อหลวม ๆ สีของใบเป็นสีขาวอมเหลืองไปจนถึงสีเขียวอ่อน ๆ ผักกาดขาวเป็นพืชอายุสั้น โดยมีอายุแค่ปีเดียว มีระบบรากตื้น ดอกมีสีเหลืองยาวประมาณ 1 เซนติเมตร

คุณค่าทางโภชนาการของผักกาดขาว

          ผักกาดขาวปริมาณ 100 กรัม ให้คุณค่าทางโภชนาการดังที่กองอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ระบุไว้ตามนี้

               - พลังงาน 11 กิโลแคลอรี

               - น้ำ 96.6 กรัม

               - โปรตีน 1.5 กรัม

               - ไขมัน 0.1 กรัม

               - คาร์โบไฮเดรต 1.1 กรัม

               - ไฟเบอร์ 0.5 กรัม

               - เถ้า 0.7 กรัม

               - แคลเซียม 7 มิลลิกรัม

               - ฟอสฟอรัส 20 มิลลิกรัม

               - ธาตุเหล็ก 0.4 มิลลิกรัม

               - เบต้าแคโรทีน 11 ไมโครกรัม

               - วิตามินเอรวม 2 ไมโครกรัม

               - ไทอามิน 0.07 มิลลิกรัม

               - ไรโบฟลาวิน 0.24 มิลลิกรัม

               - ไนอะซิน 1.2 ไมโครกรัม

               - วิตามินซี 52 มิลลิกรัม


ผักกาดขาว สรรพคุณดี๊ดี

     1. แก้ท้องผูก

          ผักกาดขาวมีไฟเบอร์สูง ช่วยแก้ปัญหาท้องผูกได้ อีกทั้งในตำรายาจีน ผักกาดขาวมีรสหวาน รสไม่ร้อนไม่เย็น ช่วยระบายอุจจาระ ลดอาการอึดอัด นอกจากนี้ในผักกาดขาวยังมีน้ำเป็นส่วนประกอบอยู่มาก จึงช่วยในการย่อยอาหาร ช่วยถนอมน้ำในลำไส้ บรรเทาอาการอุจจาระแข็ง

     2. แก้หวัด



          จะเห็นได้ว่าผักกาดขาวเป็นผักที่มีวิตามินซีค่อนข้างสูง มีส่วนกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยป้องกันหวัด และช่วยบรรเทาอาการหวัดได้ โดยสามารถกินเมนูผักกาดขาวหรือจะนำรากผักกาดขาว 1 กำมือ มาต้มน้ำดื่มก็ได้เช่นกัน

     3. แก้ไอ

          มีการศึกษาพบว่า ผักกาดขาวมีวิตามินเอ วิตามินซี แคลเซียม และสารอาหารต่าง ๆ ที่ช่วยต้านอาการอักเสบ และแก้ไอได้

     4. แก้เมาค้าง



           ผักกาดขาวมีฤทธิ์ขับสุราทางปัสสาวะ ลดความร้อนรุ่มบริเวณอก เนื่องจากผักกาดขาวมีน้ำเป็นส่วนประกอบมากนั่นเอง หากเมาค้างลองกินต้มจืดผักกาดขาวสักถ้วยก็น่าจะช่วยให้รู้สึกดีขึ้นได้ไม่มากก็น้อยค่ะ

     5. แก้พิษจากการกินมันสำปะหลังดิบ

          ต้นผักกาดขาว นำมาต้มเอาน้ำดื่มจะช่วยแก้พิษจากการรับประทานมันสำปะหลังดิบได้

     6. บรรเทาผิวหนังอักเสบ

          ผักกาดขาวสามารถบรรเทาอาการผิวหนังอักเสบจากการแพ้ได้ด้วย โดยนำผักกาดขาวสด ล้างให้สะอาด แล้วนำมาตำพอแหลก จากนั้นให้นำมาพอกแก้ผิวหนังอักเสบได้เลย



ผักกาดขาว ทำเมนูอะไรได้บ้าง

          - 7 เมนูจากผักกาดขาว อร่อยย่อยง่ายไม่จำเจ ผักเน้น ๆ

ข้อควรระวังในการกินผักกาดขาว

          1. สำหรับผู้ที่มีกระเพาะเย็น กล่าวคือ มีอาการแน่นท้อง อาหารไม่ย่อย อาเจียน ไม่ควรกินผักกาดขาวมาก เพราะอาจทำให้อาเจียน มีน้ำลายเป็นฟองได้

          2. ควรเลือกกินผักกาดขาวที่สดใหม่ ไม่เน่า ไม่เสีย และควรล้างให้สะอาดก่อนกินทุกครั้ง

ขอบคุณแหล่งที่มา https://health.kapook.com

วันพุธที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2562

มะยงชิด สรรพคุณไม่น้อยหน้า เป็นผลไม้ทรงคุณค่าในฤดูร้อน

มะยงชิด ผลไม้ที่อุดมไปด้วยสารอาหารล้นเหลือ สารต้านอนุมูลอิสระก็มีไม่น้อย แถมรสชาติอร่อยจนต่อให้มะยงชิดราคาแรงก็ต้องยอม เพราะ 1 ปีมะยงชิดจะออกผลให้ได้ลิ้มรสสัก 1 ครั้ง !


มะยงชิด เข้าสู่ฤดูร้อนอย่างเป็นทางการ เราก็จะเริ่มเห็นผลไม้หน้าร้อนกันมากขึ้น และที่หลายคนนึกถึงมากที่สุดก็น่าจะเป็นมะยงชิด หรือมะปรางลูกเท่าไข่ไก่ รสหวานอมเปรี้ยว กินสด ๆ ก็อร่อย หรือจะนำมะยงชิดไปทำเป็นขนมหวานก็ได้ฟีลชื่นใจไปอีกแบบ และเนื่องจากช่วงนี้เป็นหน้ามะยงชิดจะออกผล วันนี้กระปุกดอทคอมเลยนำสรรพคุณของมะยงชิดมานำเสนอ มาดูกันค่ะว่า คุณค่าทางโภชนาการของมะยงชิดมีดีต่อสุขภาพของเรายังไง



มะยงชิด ผลไม้รสออกหวาน ดาวเด่นในหน้าร้อน

          มะยงชิดจัดเป็นผลไม้ในตระกูลเดียวกับมะปราง หรือเป็นมะปรางอีกชนิดหนึ่ง ทำให้ลักษณะผลของมะยงชิดจะคล้ายคลึงกับมะปรางมาก โดยผลมะยงชิดมีทั้งผลขนาดเล็ก ขนาดปานกลาง และขนาดใหญ่ ตามลักษณะของสายพันธุ์ที่แตกต่างกันออกไป ส่วนรสชาติของมะยงชิดผลดิบจะออกเปรี้ยว ถ้าผลสุกจะให้รสหวานอมเปรี้ยวเล็กน้อย หรือบางพันธุ์อาจมีรสหวานน้อย เปรี้ยวมากก็เป็นได้

มะยงชิด นครนายก ของดีเลื่องชื่อ

          จังหวัดนครนายกเป็นแหล่งปลูกมะยงชิดแห่งหนึ่งในประเทศไทย ที่สำคัญมะยงชิดของนครนายกยังเลื่องชื่อตรงที่มะยงชิดที่นี่ให้ผลใหญ่ มีรสหวาน เนื้อหนา เมล็ดเล็ก โดยมะยงชิด นครนายกจะมีสายพันธุ์เด่น ๆ เช่น มะยงชิดพันธุ์ทูลเกล้า มะยงชิดพันธุ์บางขุนนท์ และมะยงชิดพันธุ์ท่าด่าน ซึ่งจัดเป็นพันธุ์มะยงชิดที่ให้ผลดก ผลใหญ่ เปลือกหนากรอบ เมล็ดเล็ก และมีรสหวานอมเปรี้ยวเล็กน้อยทั้งนั้น มะยงชิดของจังหวัดนครนายกจึงเป็นที่นิยมมากนั่นเองค่ะ

          ทั้งนี้มะยงชิดยังมีชื่อเรียกตามแต่รสชาติด้วย โดยถ้ามีรสหวานมากกว่าเปรี้ยวจะเรียกว่า มะยงชิด แต่หากมีรสชาติเปรี้ยวมากกว่าหวานจะเรียกว่า มะยงห่าง ซึ่งในส่วนของรสชาตินั้นก็อย่างที่บอกค่ะว่าเป็นไปตามความแตกต่างของแต่ละสายพันธุ์ ส่วนแหล่งปลูกมะยงชิดในบ้านเราจะมีอยู่ที่นครนายก สุโขทัย ปราจีนบุรี เพชรบูรณ์ และกำแพงเพชร



มะยงชิด มะปราง ความแตกต่างที่สังเกตได้

          แม้มะยงชิดจะเป็นมะปรางชนิดหนึ่ง ทว่าความแตกต่างของมะยงชิดกับมะปรางก็มีข้อสังเกตให้แยกมะยงชิดกับมะปรางได้ดังนี้ค่ะ

          - เนื้อมะยงชิดจะมีรสหวาน ส่วนเปลือกมะยงชิดจะมีรสเปรี้ยว ส่วนมะปรางจะมีรสชาติเปรี้ยวอมหวานทั้งเปลือกและเนื้อใน

          - ผลมะยงชิดมีสีเหลืองออกส้ม ส่วนผลมะปรางจะมีสีเหลืองนวล หรือเหลืองออกทอง

          - รสชาติของมะยงชิดจะออกหวานเด่นกว่าเปรี้ยว แต่มะปรางจะมีรสเปรี้ยวนำหวานมากกว่า


คุณค่าทางโภชนาการของมะยงชิด

          ข้อมูลจากกองโภชนาการ กรมอนามัย แสดงคุณค่าทางโภชนาการของมะยงชิดปริมาณ 100 กรัม หรือมะยงชิดประมาณ 3-4 ผล ดังนี้

          - พลังงาน 62 กิโลแคลอรี

          - น้ำ 85 กรัม

          - โปรตีน 0.5 กรัม

          - ไขมัน 0.3 กรัม

          - คาร์โบไฮเดรต 14.2 กรัม

          - ใยอาหาร 1.6 กรัม

          - เถ้า 0.3 กรัม

          - โซเดียม 2 มิลลิกรัม

          - โพแทสเซียม 137 มิลลิกรัม

          - แมกนีเซียม 6 มิลลิกรัม

          - แคลเซียม 1 มิลลิกรัม

          - ฟอสฟอรัส 13 มิลลิกรัม

          - เหล็ก 0.28 มิลลิกรัม

          - สังกะสี 0.10 มิลลิกรัม

          - ไอโอดีน 1.8 ไมโครกรัม

          - เบต้าแคโรทีน 207 ไมโครกรัม

          - วิตามินซี 25 มิลลิกรัม

          - น้ำตาล 13 กรัม



มะยงชิด สรรพคุณดีต่อสุขภาพไม่น้อย

          นอกจากรสชาติมะยงชิดจะหวานอร่อยแล้ว  สรรพคุณของมะยงชิดก็ดีต่อสุขภาพของเราไม่น้อย โดยเราจะไล่เลียงประโยชน์ของมะยงชิดต่อสุขภาพให้เห็นชัด ๆ ตามนี้

1. ต้านอนุมูลอิสระ

          มะยงชิดปริมาณ 100 กรัม หรือราว ๆ 3-4 ผล มีเบต้าแคโรทีนอยู่มากถึง 207 ไมโครกรัม ซึ่งเบต้าแคโรทีนก็จัดเป็นสารต้านอนุมูลอิสระในกลุ่มแคโรทีนอยด์ ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระชนิดที่ได้จากผัก-ผลไม้ที่มีสีส้ม สีเหลือง มะยงชิดจึงมีสรรพคุณต้านอนุมูลอิสระในตัวเอง อีกทั้งเบต้าแคโรทีนที่อยู่ในผลมะยงชิด ยังมีส่วนช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้แข็งแรงด้วยนะคะ

2. บำรุงสายตา

          เบต้าแคโรทีนเป็นสารตั้งต้นของวิตามินเอ กล่าวคือ เมื่อร่างกายได้รับเบต้าแคโรทีนเข้าไป ร่างกายจะเปลี่ยนเบต้าเคโรทีนเป็นวิตามินเอให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย และสรรพคุณของวิตามินเอก็เป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่า มีคุณสมบัติช่วยบำรุงสายตา ดังนั้นมะยงชิดที่มีสารตั้งต้นของวิตามินเออยู่จำนวนไม่น้อย จึงมีสรรพคุณช่วยบำรุงสายตาของเราไปด้วยนั่นเอง

3. ป้องกันเลือดออกตามไรฟัน

          ในผลมะยงชิดมีวิตามินซีอยู่ด้วยนะคะ และวิตามินซีก็มีคุณสมบัติช่วยป้องกันการเกิดเลือดออกตามไรฟัน อีกทั้งวิตามินซียังมีส่วนช่วยบำรุงระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำให้ไม่เจ็บป่วยง่าย โดยเฉพาะโรคหวัดต่าง ๆ



4. เติมความสดชื่นให้ร่างกาย

          มะยงชิดเป็นผลไม้ที่มีเนื้อเยอะ ฉ่ำน้ำ มีรสหวานอมเปรี้ยวนิด ๆ กินแล้วช่วยเติมความสดชื่นให้ร่างกายได้อย่างทันทีเลยล่ะค่ะ

5. ช่วยลดความเสี่ยงโรคกระดูก

          สรรพคุณด้านนี้ต้องยกผลประโยชน์ให้แคลเซียมและฟอสฟอรัสในผลมะยงชิดเลยค่ะ เพราะทั้งแคลเซียมและฟอสฟอรัสเป็นสารอาหารที่มีความสำคัญต่อกระดูกมาก ๆ มีส่วนช่วยบำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง พร้อมกันนั้นก็ช่วยลดความเสี่ยงโรคกระดูกพรุน และโรคกระดูกเสื่อม

          นอกจากความอร่อยแล้ว มะยงชิดยังมีสรรพคุณไม่น้อยเลยนะคะ จัดว่าเป็นผลไม้ที่ควรค่าแก่การรับประทานจริง ๆ

ขอบคุณแหล่งที่มา https://health.kapook.com

วันอังคารที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2562

5 สรรพคุณของมันม่วง รู้แล้วยิ่งอยากกิน ยิ่งฟินกว่า !

สรรพคุณของมันม่วง มันม่วงมีสีที่สวยงาม น่ารับประทาน และรสชาติยังหวานอร่อย แต่ถ้ารู้จักสรรพคุณของมันม่วงอีกหน่อยก็จะหลงรักมากกว่าเดิม


สรรพคุณของมันม่วง   กระแสมันม่วงมีมาสักพักแล้วแต่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าความฮอตของมันม่วงจะลดน้อยลงไปสักเท่าไร เพราะนอกจากจะมีการนำมันม่วงมาทำขนม ทาร์ต ลามไปจนไอศกรีมมันม่วง เดี๋ยวนี้ก็เริ่มเห็นเมนูขนมไทย ๆ อย่างบัวลอยมันม่วง ไข่นกกระทามันม่วง เรียกว่ามองไปทางไหนก็มีแต่มันม่วงเต็มบ้านเต็มเมืองไปหมด แสดงให้เห็นว่ามันม่วงเป็นอาหารที่นำมาทำเมนูอะไรก็อร่อย สีมันเทศสีม่วงก็สวยน่ารับประทาน และในส่วนสรรพคุณของมันม่วงนั้นก็ไม่ใช่ย่อยเลยค่ะ

* มันม่วง คือมันอะไรกันแน่

          จริง ๆ แล้วกระแสมันม่วงที่ฮิตกันมาจากมันม่วงของญี่ปุ่น แต่มันม่วงที่เห็นขายกันตามท้องตลาดบ้านเรา เป็นมันเทศสีม่วงที่ปลูกในไทย ขายในไทย ให้คนไทยได้กินกันเองนี่แหละค่ะ ซึ่งมันเทศสีม่วงมีชื่อภาษาอังกฤษว่า Sweet Potato ส่วนชื่อทางวิทยาศาสตร์ของมันม่วงนั้นคือ Ipomoea batatas (L.) Lam. มันเทศจัดเป็นพืชในวงศ์ Convolvulaceae

          มันเทศสีม่วงจัดเป็นพืชกินหัว มีลำต้นเป็นเถาหรือเป็นพุ่มตั้งตรง ถิ่นกำเนิดของมันเทศสีม่วงอยู่ในเขตร้อนแถบอเมริกากลางและอเมริกาใต้ ส่วนมันเทศสีม่วงในไทยมีแหล่งเพาะปลูกอยู่ทั่วทุกภาค โดยมีพื้นที่เพาะปลูกมันเทศสำคัญแบ่งตามภูมิภาคได้ ดังนี้

          - ภาคเหนือ : เชียงใหม่ พิษณุโลก เพชรบูรณ์ และสุโขทัย

          - ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ : เลย สุรินทร์ และบุรีรัมย์

          - ภาคกลาง : อยุธยา สุพรรณบุรี และปทุมธานี

          - ภาคใต้ : นครศรีธรรมราช ชุมพร และปัตตานี

* คุณค่าทางโภชนาการของมันม่วง

          กรมส่งเสริมการเกษตร เผยคุณค่าทางโภชนาการของมันเทศสีม่วงปริมาณ 100 กรัม ดังนี้

          น้ำ 70 กรัม

          พลังงาน 114 กิโลแคลอรี

          โปรตีน 1.5 กรัม

          ไขมัน 0.3 กรัม

          คาร์โบไฮเดรต 26 กรัม

          เส้นใย 1 กรัม

          แคลเซียม 25 มิลลิกรัม

          ธาตุเหล็ก 1 มิลลิกรัม

          ไธอามีน 0.1 มิลลิกรัม

          ไรโบฟลาวิน 0.04 มิลลิกรัม

          ไนอาซีน 0.7 มิลลิกรัม

          กรดแอสคอร์บิก 30 มิลลิกรัม

          นอกจากสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายข้างต้นแล้ว มันเทศสีม่วงยังอุดมไปด้วยพฤกษเคมีที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างสารต้านอนุมูลอิสระในกลุ่มแอนโทไซยานิน ที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่พบได้ในเฉพาะผัก ผลไม้ และพืชที่มีสีม่วง แดง และน้ำเงินเท่านั้น

          คราวนี้เรามาดูประโยชน์ของมันม่วงในด้านสุขภาพกันบ้างค่ะว่า มันม่วง สรรพคุณดียังไง



* มันม่วง อร่อยดี เฮลธ์ตี้ด้วย

          ประโยชน์ของมันม่วงที่เด่น ๆ นอกจากจะมีไฟเบอร์เยอะแล้ว ตัวสารต้านอนุมูลอิสระที่ชื่อว่าแอนโทไซยานินก็เป็นสรรพคุณสุดจี๊ดของมันม่วงเขาเหมือนกัน โดยกินมันม่วงแล้วก็จะได้ประโยชน์ตามนี้

1. ลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด

          แอนโทไซยานินที่มีอยู่ในมันเทศสีม่วงมีคุณสมบัติต้านปฏิกิริยาออกซิเดชั่นของไขมัน โดยจะทำหน้าที่ยับยั้งการรวมตัวระหว่างออกซิเจนกับคอเลสเตอรอลชนิด LDL จากกระบวนการออกซิเดชั่น จึงถือว่ามันเทศสีม่วงมีส่วนช่วยลดคอเลสเตอรอลในเลือด ลดความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือดได้

          - 10 สมุนไพรพื้นบ้านลดไขมันในเลือด อาหารเป็นยาคู่ครัวไทย

          - กินอะไรลดไขมันในเลือด 16 อาหารยอดคุณ เลือกให้ถูกจะรู้ว่าดีจริง

2.  ช่วยบำรุงผิวพรรณ และผม

          สารต้านอนุมูลอิสระอย่างแอนโทไซยานินและสารฟลาโวนอยด์ในมันเทศสีม่วงมีคุณสมบัติช่วยดูดซับอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ในร่างกาย อีกทั้งสารต้านอนุมูลอิสระเหล่านี้ยังมีฤทธิ์ต้านรังสียูวี ช่วยให้ผิวพรรณไม่โดนรังสียูวีทำร้าย นอกจากนี้สารอาหารในมันม่วงยังมีส่วนกระตุ้นให้เส้นผมดำ ชะลอการเกิดผมหงอกด้วยนะคะ



3. ชะลอความแก่

          ผลการศึกษาของ น.ส.พัชรี มั่นคง นักศึกษาหลักสูตรพิษวิทยาทางอาหารและโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล โดยทดลองกับแมลงหวี่ ซึ่งมีระบบเอนไซม์คล้ายกับมนุษย์ พบว่า มันเทศสีม่วงมีส่วนช่วยชะลอความแก่ได้ 13% มันเทศสีเหลืองช่วยชะลอความแก่ได้ 11% โดยสารต้านอนุมูลอิสระในมันเทศสีม่วงมีคุณสมบัติต้านการเกิดไกลเคชั่น ซึ่งเป็นการทำปฏิกิริยาระหว่างน้ำตาลกับโปรตีนในร่างกาย อันเป็นปัจจัยที่โน้มน้าวให้เซลล์เสื่อมหรือแก่ลง ซึ่งภาวะนี้มักจะพบได้มากในผู้สูงอายุ หรือในผู้ป่วยเบาหวาน ที่น้ำตาลในเลือดจะไปจับโปรตีนในเซลล์ ส่งผลให้เส้นเลือดเสื่อมสภาพเร็วกว่าที่ควร

4. ช่วยลดโรคแทรกซ้อนในผู้ป่วยเบาหวาน

          ด้วยความที่สารต้านอนุมูลอิสระในมันเทศสีม่วงมีคุณสมบัติต้านการเกิดไกลเคชั่นระหว่างน้ำตาลกับโปรตีนในร่างกาย ดังนั้นการได้รับแอนโทไซยานินจากมันเทศสีม่วงก็ช่วยยับยั้งการจับตัวของน้ำตาลกับโปรตีนในระดับเซลล์ ส่งผลให้เซลล์ในร่างกายและเส้นเลือดเสื่อมน้อยลง ลดโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนในผู้ป่วยเบาหวานได้

5. ต้านมะเร็ง

          การศึกษาจากต่างประเทศโดยนักวิทยาศาสตร์ Wargovich, Chen, Jimenez, and Steele เมื่อปี ค.ศ. 1996 พบว่า สารสกัดจากแอนโทไซยานินมีคุณสมบัติป้องกันมะเร็งได้ โดยการใช้แอนโทไซยานินที่ระดับความเข้มข้นต่ำ สามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งเต้านมของผู้ป่วยมะเร็งเต้านมที่เป็นอาสาสมัครได้

          อีกทั้งยังมีการศึกษาที่สนับสนุนคุณสมบัติต้านมะเร็งของแอนโทไซยานินในมันม่วงด้วยว่า สารต้านอนุมูลอิสระชนิดนี้มีคุณสมบัติต้านมะเร็งลำไส้ โดยมีไฟเบอร์เป็นตัวช่วยกระตุ้นระบบขับถ่าย ทำให้ระบบขับถ่ายทำงานคล่องตัว ลดความเสี่ยงมะเร็งในระบบทางเดินอาหารได้



* มันม่วง แคลอรีเยอะไหม กินมันม่วงช่วยลดน้ำหนักได้หรือเปล่า

          อย่างที่เห็นว่ามันม่วงมีแคลอรีอยู่ 114 กิโลแคลอรีต่อ 100 กรัม ซึ่งก็จัดว่าเป็นอาหารที่ให้พลังงานในระดับปานกลาง แต่ทั้งนี้อย่าลืมว่ามันม่วงมีคาร์โบไฮเดรตสูงมากเช่นกัน แต่คาร์โบไฮเดรตในมันม่วงนั้นเป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน ทำให้เราอิ่มเร็วและอิ่มอยู่ท้องได้นาน

          ดังนั้นคนที่จะกินมันเทศลดน้ำหนัก ก็ควรเลือกกินคาร์โบไฮเดรตจากอาหารชนิดใดชนิดหนึ่งต่อมื้อ เช่น หากเลือกกินมันเทศก็ควรเลี่ยงข้าว ขนมปัง รวมไปถึงแป้งในรูปแบบต่าง ๆ ที่สำคัญควรเลือกรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ตามหลักโภชนาการที่ดี ร่วมกับหมั่นออกกำลังกายอย่างน้อย 3 วันต่อสัปดาห์ด้วยนะคะ



* มันม่วงทำอะไรได้บ้าง 

          นอกจากหัวมันม่วงแล้ว ใบมันเทศสีม่วง และยอดอ่อนของมันเทศก็นำมาต้มจิ้มน้ำพริกกินได้ด้วยนะคะ และในใบมันเทศยังเป็นแหล่งวิตามินเอที่ดีมาก ๆ พอ ๆ กับผักบุ้งเลยแหละ ที่สำคัญยังมีสารลูทีนที่ช่วยบำรุงสายตาอีกด้วย

ขอบคุณแหล่งที่มา https://health.kapook.com

ของว่างไม่เกิน 100 กิโลแคลอรี อร่อยฟินกว่าเดิม เพิ่มเติมคือไม่อ้วน !

ของว่างไม่เกิน 100 กิโลแคลอรี     มาดูของกินเล่นไม่อ้วนที่ให้พลังงานต่ำมาก เพราะแต่ละอย่างเป็นขนมที่ให้พลังงานไม่เกิน 100 กิโลแคลอรี ไม่ว่าจะหิวตอนนี้ หิวตอนบ่าย หรือหิวตอนไหนก็กินแล้วโนอ้วน !

ของว่างไม่เกิน 100 กิโลแคลอรี   ความหิวมักจะมาในเวลาที่ไม่ใช่เวลาอาหารหลัก ไหนมีใครเป็นเหมือนกันบ้างไหมคะที่ชอบหิวตอนสาย ๆ ตกบ่ายก็หิว หรือพูดง่าย ๆ ก็คือหิวมันทั้งวัน ! แต่ครั้นจะกินขนมตามใจปากไปเรื่อยก็คงจะอ้วนเป็นตุ่มเดินได้ ถ้างั้นเรามาดูกันดีกว่าว่าขนมที่ไม่อ้วนจะมีอะไรให้เรากินบ้าง และนี่ก็คือลิสต์ ของว่างแคลอรีต่ำที่ให้พลังงานไม่เกิน 100 กิโลแคลอรี ไม่อยากอ้วนก็ต้องกินแบบนี้เลย



1. คุกกี้ข้าวโอ๊ต 2 ชิ้นเล็ก ๆ

          ลดน้ำหนักอยู่ก็กินคุกกี้ได้ แต่มีข้อจำกัดนิดนึงว่าขอเป็นคุกกี้ข้าวโอ๊ตชิ้นเล็ก ๆ น้ำหนักประมาณ 17 กรัม 2 ชิ้น ซึ่งจะให้พลังงานที่ประมาณ 90 กิโลแคลอรี อิ่มกันเบา ๆ พอให้ดับความอยากอาหารลงไปได้ แถมกินคุกกี้ข้าวโอ๊ตแล้วยังจะได้ไฟเบอร์ ได้คาร์บชนิดดี ที่ส่งผลดีต่อกระบวนการย่อยอาหาร และระบบขับถ่ายของร่างกายกันอีกด้วย



2. แครกเกอร์โฮลวีท 4 แผ่นเล็ก
   
          แค่เห็นคำว่าโฮลวีทก็รู้เลยว่าเป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน นั่นก็หมายความว่า แม้จะกินแครกเกอร์โฮลวีทแค่เพียง 4 แผ่นเล็ก ก็ทำให้อิ่มอยู่ท้อง พร้อมทั้งลดความอยากอาหารพาอ้วนชนิดอื่น ๆ ไปได้ เนื่องจากคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนอย่างโฮลวีทจะถูกร่างกายเราย่อยอย่างค่อยเป็นค่อยไป ส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดคงที่ ไม่รู้สึกโหยหาอาหารรสหวาน และไม่หิวจุบจิบเรื่อยเปื่อย อ้อ ! และแครกเกอร์โฮลวีท 4 ชิ้นนี้ ก็ให้พลังงานเพียง 80 กิโลแคลอรีเองด้วย



3. ขนมปังโฮลวีท
   
          สำหรับสายแป้ง สายขนมปัง ถ้าอยากกินขนมปังขึ้นมาติดหมัดแนะนำให้เลือกกินขนมปังโฮลวีท 1 แผ่น แบบเพียว ๆ ไม่ทาเนย ทาแยม หรือจิ้มนมข้นใด ๆ เท่านี้คุณก็จะได้อิ่มอร่อยไปด้วยไฟเบอร์ วิตามิน และแร่ธาตุจากคาร์บชนิดดีที่ไม่ได้ผ่านการขัดสี ซึ่งเชื่อเถอะค่ะว่าขนมปังโฮลวีทแผ่นเดียวก็ทำให้รู้สึกอิ่มได้ ในปริมาณพลังงานเบา ๆ ที่ 70 กิโลแคลอรีเท่านั้น



4. เม็ดมะม่วงหิมพานต์ 
    
          ของกินเล่นเพลิน ๆ อย่างเม็ดมะม่วงหิมพานต์ ให้พลังงาน 100 กิโลแคลอรีเป๊ะ ๆ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องจำกัดปริมาณการกินไม่ให้เกิน 12 เม็ดนะคะ และพยายามอย่าโรยเกลือ คลุกเนย หรือทอดด้วย เลือกกินแบบอบให้สุกแบบนี้จะห่างไกลความอ้วนมากกว่า และยังจะได้รับวิตามิน แร่ธาตุ ไฟเบอร์ และสารอาหารดีต่อสุขภาพร่างกายแบบไร้ข้อกังขาใด ๆ



5. ถั่วอัลมอนด์
   
          ทั้งโปรตีน ไฟเบอร์ วิตามิน และไขมันดีในอัลมอนด์ จะช่วยเติมเต็มพลังงานและช่วยขับเคลื่อนระบบเผาผลาญของร่างกายให้ทำงานได้อย่างเต็มกำลัง เห็นได้ชัดว่านอกจากจะเป็นของกินเล่นไม่อ้วนแล้ว ยังช่วยให้ร่างกายเบิร์นไขมันได้อย่างต่อเนื่องไปอีก !

          ดังนั้นคนที่อยากสร้างกล้ามหรือต้องการหุ่นลีน ๆ โปรตีนจากอัลมอนด์เคี้ยวเพลินนี่แหละตัวช่วยที่ดีของคุณเลย อ้อ ! แต่ถ้าจะให้ดีควรจำกัดปริมาณอัลมอนด์ให้ไม่เกิน 15 เม็ดต่อการรับประทาน 1 ครั้งนะคะ เพราะจำนวนเท่านี้จะให้พลังงานกับเราราว ๆ 100 กิโลแคลอรี และอย่าใส่เกลือเยอะเกินไปด้วยล่ะ



6. ถั่วลิสง 

          ถั่วเป็นของว่างที่มีโปรตีนค่อนข้างสูง เกือบเทียบเท่าโปรตีนจากเนื้อสัตว์เลยทีเดียว จึงช่วยให้หายหิวได้พอสมควร และหากใครต้องการกินถั่วลิสงเป็นสแน็ก งานนี้ขอให้โควตาเพียง 17 เม็ดเท่านั้นค่ะ เพราะปริมาณถั่วลิสงที่ว่าจะให้พลังงานราว ๆ 100 กิโลแคลอรี และก็เช่นเคย ไม่อยากตัวบวม ไม่อยากได้แคลอรีเพิ่ม โปรดอย่าเทเกลือรัว ๆ ใส่ถั่วลิสงนะคะ ถ้าเป็นไปได้ให้ใส่เกลือปริมาณน้อยถึงน้อยมาก หรือไม่ใส่เกลือปรุงรส ไม่เคลือบน้ำตาลชนิดใด ๆ เลยยิ่งดี



7. ถั่วพิสตาชิโอ
   
          ถั่วชนิดนี้มีดีต่อสุขภาพหัวใจและมีคุณค่าทางโภชนาการสูงมาก อุดมไปด้วยสารไฟโตสเทอรอล ช่วยในการดูดซึมคอเลสเตอรอลในลำไส้ มีไฟเบอร์และแคโรทีนอยด์ช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจ แถมยังช่วยบำรุงการมองเห็นให้ดีขึ้น ที่สำคัญกินถั่วพิสตาชิโอเป็นสแน็กครั้งละ 25 เม็ด ก็ให้พลังงานเพียง 100 กิโลแคลอรีเท่านั้นเอง ทว่าก็ควรเลือกกินแบบที่ไม่เค็มมากและไม่อบเนยนะคะ



8. เมล็ดทานตะวัน 
   
          อยากหาขนมมาเคี้ยวเพลิน ๆ ระหว่างทำงานหรืออ่านหนังสือ เมล็ดทานตะวันก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจไม่น้อยทีเดียว เพราะในปริมาณ​ 2 ช้อนโต๊ะ เมล็ดทานตะวันก็ให้พลังงานเพียง 100 กิโลแคลอรี แต่ที่มากไปกว่านั้นคือ เมล็ดทานตะวันยังอุดมไปด้วยวิตามินอี ซึ่งทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระชั้นยอด สามารถกำจัดสารพิษ และป้องกันการอักเสบต่าง ๆ ในร่างกาย
   
          นอกจากนี้เมล็ดทานตะวันยังอุดมไปด้วยแมกนีเซียม ที่จะช่วยลดความตึงเครียด ส่วนโปรตีน ไฟเบอร์ และวิตามินบีที่อยู่ในเมล็ดทานตะวัน ยังมีส่วนสำคัญในการเผาผลาญพลังงานและทำให้คุณอิ่มอยู่ท้องนานกว่าเดิมอีกด้วย



9. ป๊อปคอร์น
   
          ป๊อปคอร์นเป็นของว่างที่ถูกเข้าใจผิดว่ากินแล้วอ้วนมานาน ทั้ง ๆ ที่ป๊อปคอร์นเป็นสแน็กที่มีไฟเบอร์สูงมาก แถมในปริมาณ 2 ถ้วยตวงก็ให้พลังงานประมาณ 60-70 กิโลแคลอรีเท่านั้นเอง แต่ทั้งนี้ก็ต้องไม่กินป๊อปคอร์นอบเนย เคลือบคาราเมล หรือใส่เกลือนะจ๊ะ



10. ไข่ต้ม
   
          ไข่ต้ม 1 ฟอง ให้พลังงานราว ๆ  70-80 กิโลแคลอรี ทานช่วงบ่าย ๆ ก็ช่วยลดทอนความอยากอาหารในมื้อถัดไปได้ เพราะไข่ต้ม 1 ฟองให้โปรตีนสูงมากถึง 6 กรัม กินแล้วรู้สึกอิ่มได้ง่าย ๆ อีกทั้งไข่ต้มยังเป็นของกินเล่นเบา ๆ ที่เหมาะสำหรับคนที่กำลังเน้นกินโปรตีนเพราะลดน้ำหนัก และคนที่กำลังอยากได้กล้ามเนื้อลีน ๆ สวย ๆ



11. โยเกิร์ต
   
          ของว่างชนิดนี้มีให้เลือกกินกันถึง 2 สไตล์ ไม่ว่าจะเป็นกรีกโยเกิร์ตปริมาณ 1/2 ถ้วย (ประมาณ 60 กรัม) ราดด้วยน้ำผึ้ง 1 ช้อนชาเพิ่มรสหวานและกลิ่นหอมกรุ่น อิ่มกันแบบฟิน ๆ ในขณะที่ให้พลังงานเพียง 80 กิโลแคลอรี หรือจะเลือกกินโยเกิร์ตไร้ไขมัน 1 ถ้วย (ประมาณ 105 กรัม) โรยด้วยเมล็ดทานตะวัน 1 ช้อนชา รวมแล้วให้พลังงาน 90 กิโลแคลอรีก็ได้ค่ะ สองถ้วยนี้โปรตีนสูงมาก อิ่มอร่อยแก้หิวได้ชัวร์ ๆ



12. ดาร์กช็อกโกแลต
   
          ดาร์กช็อกโกแลต 70-85% ประมาณ 17 กรัม ให้พลังงาน 90-100 กิโลแคลอรี ซึ่งรสชาติขม ๆ แบบนี้แหละค่ะมีวิตามินแร่ธาตุมากมาย และช่วยยับยั้งความอยากอาหารได้ดีด้วย คนที่มักจะหิวจุบจิบบ่อย ๆ กินแก้อาการอยากกินนู่นกินนี่ได้สบาย ไม่ต้องห่วงว่าจะได้รับแคลอรีเกิน !



13. กล้วยน้ำว้า
   
          ขึ้นชื่อว่าเป็นผลไม้ก็เหมือนการันตีถึงประโยชน์ต่อสุขภาพได้โดยไม่ต้องใช้ความเข้าใจอะไรมากมาย ยิ่งเป็นกล้วยน้ำว้าที่มีวิตามิน ไฟเบอร์ และแร่ธาตุดีต่อสุขภาพแบบอัดแน่นด้วยแล้ว ก็ยิ่งทำให้กล้วยน้ำว้าเป็นของกินเล่นแก้หิวที่คนรักสุขภาพ Don’t miss จริง ๆ ค่ะ แต่ถ้าจะให้ดีต่อหุ่นยิ่ง ๆ ขึ้นไป แนะนำให้กินกล้วยน้ำว้าครั้งละ 1 ใบก็เพียงพอ เพราะนี่ก็ให้พลังงานราว ๆ 60 กิโลแคลอรีแล้วนะ



14. ส้มขนาดกลาง
   
          ส้มลูกขนาดกลาง 1 ผลก็ให้พลังงานราว ๆ 60 กิโลแคลอรีเช่นเดียวกับกล้วยน้ำว้า แต่สิ่งที่โดดเด่นต่างออกมาคือส้มให้รสชาติที่สดชื่นกว่า มีวิตามินซีที่ดีต่อระบบภูมิคุ้มกัน และยังเป็นวิตามินตัวสำคัญของระบบเผาผลาญในร่างกาย นอกจากนี้ส้มยังเป็นผลไม้ที่มีน้ำตาลต่ำ จัดอยู่ในกลุ่มผลไม้ลดน้ำหนัก อีกด้วย   



15. แอปเปิล
   
          แอปเปิลแดงขนาดกลางพร้อมเปลือก 1 ผลให้พลังงาน 70 กิโลแคลอรี และถ้าใครกินแอปเปิล 1 ลูกแล้วรู้สึกอิ่มก็ไม่ต้องแปลกใจ เพราะแอปเปิลสดมีไฟเบอร์เพคตินที่ช่วยทำให้อิ่มอยู่ท้องได้ดี นี่ยังไม่พูดถึงวิตามิน กรดอะมิโน และแร่ธาตุสำคัญชนิดอื่นในแอปเปิลอีก ทีนี้รู้ยังว่าแอปเปิลเป็นของกินเล่นไม่อ้วนที่ทรงคุณประโยชน์ขนาดไหน

          ไม่อยากอ้วนเพราะนิสัยกินจุบจิบอีกต่อไป ก็หันมาใส่ใจเลือกของกินเล่นที่ไม่อ้วนตามนี้เป็นสแน็กฟิน ๆ กันดีกว่าเนอะ ;)

ขอบคุณแหล่งที่มา https://health.kapook.com